Translate

วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

:: TEST - MartinLogan : Motion 40

MartinLogan
Motion 40


Floor-standing Loudspeaker

ในจำนวนรถเก๋งประเภทซีดาน 4 ประตูทั้งหมดของ Benz รุ่น C-Class เป็นรุ่นเล็กสุดในจำนวน 3 รุ่นโดยเริ่มต้นจาก C-Class ขึ้นไป E-Class และใหญ่สุดหรูหราสุดก็คือ S-Class ตอนที่รุ่น C-Class ออกมาครั้งแรกในปี 2536 (ค.ศ. 1993) รถเบนซ์รุ่นนี้ไม่ได้รับการยอมรับมากนัก ถูกมองว่าเป็นรถราคาประหยัดของเบนซ์ที่ทำออกมาแข่งกับรถญี่ปุ่นอย่างฮอนด้าและโตโยต้า

ผมมีโอกาสได้ทดลองขับรถเบนซ์ C-Class มาครั้งหนึ่ง เมื่อหลายปีก่อน เป็นช่วงกำลังคิดจะเปลี่ยนรถ ที่ลองขับรุ่นนี้ไม่ได้คิดจะซื้อ แต่อยากจะทดลองขับเป็นข้อมูลเท่านั้นเอง ผมเห็นด้วยกับหลายๆ คนว่ารถเบนซ์รุ่น C-Class นี้ย่อหย่อนคุณภาพลงไปจากรุ่น E และ S-Class หลายๆ จุดโดยเฉพาะความหรูหราของการตกแต่งภายในตัวรถ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกแตกต่างเมื่อเทียบกับรถญี่ปุ่นระดับกลางๆ ที่ใช้งานอยู่ประจำ สิ่งนั้นคือความหนึบของช่วงล่างที่ให้ความรู้สึกมั่นคงกว่ารถญี่ปุ่นทั่วไปมาก.. 

“Motion® Series”
โฉมใหม่ของ Martin Logan

เอกลักษณ์ที่ทำให้คนรู้จักและจดจำลำโพงยี่ห้อ Martin Logan ก็คือกลาง-แหลมที่เป็น electrostatic ผสมกับเสียงทุ้มจากไดเวอร์ทรงกรวยไดนามิก และด้วยลักษณะของแผงอิเล็กโตรสแตรติคที่โค้งของ MartinLogan ก็เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ที่แตกต่างและทำให้ลำโพง MartinLogan ดูโดดเด่นเมื่อเทียบกับลำโพงอิเล็กโตรฯ ยี่ห้ออื่นที่ใช้แผงอิเล็กโตรฯ ที่มีลักษณะแบนราบกับดีไซน์ที่ดูเชยๆ

เหตุผลที่มาร์ตินโลแกนออกแบบให้แผงอิเล็กโตรฯ มีลักษณะโค้งในแนวตั้ง (Curvilinear Line-source = CLS) ก็เพื่อเพิ่มมุมกระจายของเสียงในย่านกลาง-แหลมให้ฉีกกว้างออกไปมากขึ้น และเพื่อแก้ปัญหาเสียงทุ้มที่เป็นจุดอ่อนของลำโพงแผ่นฟิล์มในอดีต พวกเขาจึงใช้วิธีจำกัดให้ตัวแผ่นฟิล์มทำหน้าที่สร้างความถี่เฉพาะกลาง-แหลมและใช้ไดเวอร์กรวยไดนามิกในการสร้างความถี่ในย่านทุ้มเข้ามาเสริมในลักษณะที่เรียกว่า “ไฮบริดจ์” นั่นเอง

ยุคหลังๆ เมื่อโลกต้องการลำโพงที่มีขนาดเล็กลงแต่ให้เอ๊าต์พุตได้สูง ทาง MartinLogan ก็เริ่มหันมาสร้างลำโพงตู้ที่ใช้ไดเวอร์กรวยไดนามิกออกมา ที่เป็นลำโพงตู้เพราะใช้งานในบ้านทั่วไปได้ง่ายและสะดวกกว่าลำโพงแผ่นฟิล์ม แต่เพื่อให้คงเอกลักษณ์ของเสียงกลาง-แหลมที่โปร่งใสเต็มไปด้วยรายละเอียด พวกเขาจึงออกแบบไดเวอร์แบบใหม่สำหรับความถี่กลาง-แหลมขึ้นมาใช้ เรียกว่า ATF (Advanced Thin Film) แล้วนำมาออกแบบร่วมกับไดเวอร์กรวยไดนามิกบนตัวตู้ที่มีขนาดเล็กลง ราคาก็ย่อมเยาลง

รูปร่าง + หน้าตา
และส่วนประกอบของ Motion 40
       
Motion Series เป็นลำโพงซีรี่ย์ใหม่ล่าสุดของ MartinLogan มีออกมาทั้งหมด 13 รุ่น มีทั้งแบบตั้งพื้น วางหิ้ง เซ็นเตอร์ และซับวูฟเฟอร์ สามารถแยกเล่นเป็นลำโพงฟังเพลงสำหรับระบบเสียง 2 แชนเนลสเตริโอก็ได้ หรือจะจัดชุดสำหรับใช้ในระบบเสียงเซอร์ราวนด์มัลติแชนเนลก็ได้ สำหรับรุ่น Motion 40 นี้เป็นลำโพงตั้งพื้นรุ่นใหญ่สุดในซีรี่ย์นี้ (ตั้งพื้นอีกรุ่นในซีรี่ย์เดียวกันนี้คือ Motion 20) มาในรูปลักษณ์ทาวเวอร์ขนาดเล็ก ความสูงอยู่ที่ 107.9 ซ.ม. หน้ากว้าง 19.2 ซ.ม. ลึก 32.6 ซ.ม. ทำงานด้วยระบบสามทางที่ใช้ตัวขับเสียงร่วมกัน 4 ตัว ประกอบด้วยวูฟเฟอร์ขับทุ้มทรงกรวยอะลูมินั่มขนาด 6.5 นิ้ว (16.5 ซ.ม.) จำนวน 2 ตัวต่อพ่วงกันเพื่อสร้างความถี่ในช่วง 500Hz ลงไปจนถึง 40Hz ส่วนความถี่ย่านกลางช่วงตั้งแต่ 500Hz ขึ้นไปจนถึง 2,600Hz เป็นหน้าที่ของไดเวอร์มิดเร้นจ์กรวยอะลูมินั่มขนาด 5.5 นิ้ว (14 ซ.ม.) เลยจากสองพันหกร้อยเฮิร์ตขึ้นไปจนถึงปลายสุดที่ 25,000Hz (-/+3dB) เป็นหน้าที่ของทวีตเตอร์แบบพิเศษที่เรียกว่า Folded Motion Transducer
    
Folded Motion Transducer
เป็นทวีตเตอร์ที่ใช้แผ่นโพลีเอสเตอร์บางๆ มาทำเป็นไดอะแฟรมโดยพับทบกันไป-มาหลายชั้นจนมีลักษณะคล้ายหีบเสียงแอคคอเดี้ยน  เมื่อได้รับพลังงานจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า แผ่นพับที่เป็นไดอะแฟรมก็จะพากันขยับตัวบีบและคลายอย่างรวดเร็ว ทำให้มวลอากาศที่อยู่ภายในรอยพับของแผ่นไดอะแฟรมถูกรีดออกมาเป็นเสียง ทวีตเตอร์แบบ Folded Motion Transducer ที่ใช้ในรุ่น Motion 40 นี้มีปริมาณพื้นที่ของไดอะแฟรมมากกว่าโดมทวีตเตอร์ถึง 8 เท่า จึงให้เอ๊าต์พุตได้สูงกว่าโดมทวีตเตอร์และริปป้อนทวีตเตอร์ อีกทั้งแผ่นไดอะแฟรมที่พับย่นของ Folded Motion Transducer นี้จะขยับตัวบีบและคลายด้วยระยะทางที่สั้นมากๆ จึงไม่ทำให้เกิดการสั่นกระพรือ ความเพี้ยนจึงต่ำกว่าทวีตเตอร์แบบอื่น เมื่อเทียบกับริปป้อนทวีตเตอร์ที่มีระยะขยับตัวน้อยมาก แม้ว่าริปป้อนทวีตเตอร์ที่มีขนาดใกล้เคียงกันจะให้เสียงแหลมที่มีความเพี้ยนต่ำ แต่ก็ให้เอ๊าต์พุตที่ต่ำกว่าทวีตเตอร์ Folded Motion Transducer มากด้วย

ส่วนไดเวอร์มิดเร้นจ์กับวูฟเฟอร์ใช้กรวยอะลูมินั่มแบบเดียวกัน จึงให้ลักษณะโทนเสียงในย่านกลางลงมาถึงทุ้มที่กลมกลืนกันตลอดย่าน ตัวไดเวอร์มิดเร้นจ์กับทวีตเตอร์ติดตั้งเยื้องขึ้นไปทางด้านบนของตัวตู้ ในขณะที่ตัววูฟเฟอร์ขับทุ้มทั้งสองตัวถูกติดตั้งในตำแหน่งที่เยื้องลงมาทางด้านล่างของตัวตู้ ส่วนท่อระบายเบสอยู่ด้านหลังและติดตั้งต่ำมากเกือบถึงฐานล่างของตัวตู้เลยทีเดียว ขนาดท่อก็ค่อนข้างใหญ่ ระบายอากาศในตู้ออกมาได้เร็วทำให้ไม่เกิดแรงต้านต่อการดีดตัวกลับของแผ่นไดอะแฟรมของวูฟเฟอร์ เสียงทุ้มที่ได้จึงออกมาสะอาดและเร็ว

ขั้วต่อสายลำโพงแยกเป็นสองชุดสะดวกต่อการเชื่อมต่อสายลำโพงแบบไบ-ไวร์ฯ หรือขับด้วยเพาเวอร์แอมป์ 4 แชนเนลแบบไบ-แอมป์ฯ ทางมาร์ตินโลแกนออกแบบขั้วต่อตัวขันยึดเอง ดูสวยดี แข็งแรงและแน่นหนา ตัวตู้ทำด้วยไม้ขัดมันลงวานิชชักเงาวาววับ คู่ที่ผมได้รับมาทดสอบผิวตู้สีไม้ (ในเว็บไซต์มีตู้สีดำกับสีขาวด้วย)

แม็ทชิ่ง + เซ็ตอัพ

จากสเปคฯ ของ Motion 40 (1) ความไวอยู่ที่ 92dB/2.83V/m = ถือว่าค่อนข้างไว ขับไม่ยาก (2) อิมพีแดนซ์อยู่ที่ 4 โอห์ม = แสดงว่าขับได้ดัง (3) แนะนำกำลังขับอยู่ระหว่าง 20-300 วัตต์/ข้าง = อือมม.. จากสเปคฯ ตัวที่สามนี้ดูเหมือนว่าจะต้องการแรงขับดันจากแอมป์ไม่น้อยเหมือนกันแฮะ

ผมทดลองแม็ทชิ่งแอมป์ฯ กับ Motion 40 ก่อนเป็นเบื้องแรก เริ่มด้วยการจัดวาง Motion 40 ลงบนตำแหน่งที่ให้ค่าเฉลี่ยดีที่สุดในห้องคือห่างผนังด้านหลังออกมาเท่ากับ 1/3 x ความยาวของห้อง จับแแยกจากกัน 180 ซ.ม. ตั้งหน้าตรง จากนั้นก็ทดลองฮุคแอมป์ฯ ที่มีอยู่เข้าไป เรียงลำดับจากอินติเกรตแอมป์ Clef Audio: Soloist-50 (50W/ch@4ohm), ตามด้วย YBA: Heritage A100 (100W/ch@8ohm & 150W/ch@4ohm), ต่อด้วย Roksan: Oxegene (75W/ch@8ohm & 150W/ch@4ohm), ต่อด้วย Devialet: 170 (170W/ch@6ohm), ตบท้ายด้วย Ayre Acoustics: AX-5 (125W/ch@8ohm & 250W/ch@4ohm)

สิ่งที่ผมได้ยินจากการแม็ทชิ่งแอมป์ฯ เพื่อขับลำโพง Motion 40 คู่นี้มันให้ความรู้สึกมั่นคงเหมือนตอนทดลองขับ C-Class คือมันสามารถให้เสียงที่ฟังดีได้ในทุกสภาวะ ไม่ว่าจะใช้แอมป์ฯ ที่มีกำลังขับเท่าไรมาขับลำโพงคู่นี้ ตราบเท่าที่ยังมีตัวเลขกำลังขับไม่ต่ำเกินไปและยังอยู่ในขอบเขตที่ผู้ผลิตแนะนำไว้คือตั้งแต่ 20W/ch ขึ้นไปจนถึง 300W/ch เสียงที่ออกมาแม้จะลดหลั่นกันลงไปทางด้านคุณภาพเสียง แต่ก็ยังคงมีคุณภาพที่ดีอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ เมื่อขับกับแอมป์เล็ก เสียงที่ได้ไม่หลุดเข้าป่าเหมือนลำโพงบางคู่ ยกตัวอย่างตอนขับด้วย Clef Audio: Soloist-50 ที่มีกำลังขับแค่ 50W ที่ 8 โอห์ม เทียบกับตอนขับด้วย Devialet 170 ที่มีกำลัง 170W ที่ 6 โอห์ม ผมพบว่า ลำโพงคู่นี้ให้ "ความดัง" ของเสียงในย่านกลาง-แหลมออกมาไม่ต่างกันมาก แม้ว่าวอลลุ่มของแอมป์ทั้งสองตัวจะถูกเร่งขึ้นไปด้วยปริมาณที่ต่างกันแต่ก็เป็นเพราะเกนขยายที่อินพุตออกแบบไว้ต่างกัน และที่ระดับความดังที่ใกล้เคียงกันระหว่างแอมป์วัตต์สูงกว่ากับแอมป์วัตต์ต่ำกว่าผมพบว่า มันให้คุณภาพเสียงที่ต่างกันไม่มากนัก นั่นคือตอนขับ Motion 40 ด้วยกำลัง 50W ของ Soloist-50 ผมพบว่ามันให้เสียงกลาง-แหลมออกมาดีในระดับที่ยอมรับได้ แต่เมื่อเปลี่ยนมาขับด้วย Devialet 170 ที่ระดับความดังเท่าๆ กัน ผมพบว่าคุณภาพเสียงในย่านกลาง-แหลมที่ได้ออกมามีคุณภาพดีขึ้นไปอีกขั้น ถ้าพยายามจะเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์น่าจะอยู่ราวๆ 20-30% แต่ที่ Devialet 170 ทำได้ดีกว่า Soloist-50 มากในการขับดัน Motion 40 อยู่ที่ความถี่ในย่านกลางต่ำลงไปถึงทุ้มตอนล่างที่ออกมาหนาแน่นกว่า มีรายละเอียดมากกว่า และช่วยหนุนให้เสียงกลาง-แหลมมีความอิ่มเนียนและนุ่มหูมากขึ้นด้วย

ลำโพงบางคู่ที่ออกแบบวงจรเน็ทเวิร์คไม่ดีพอจะแม็ทชิ่งยาก ค่อนข้างจะเลือกแอมป์มากเป็นพิเศษ แต่ลำโพงสมัยใหม่ไม่ค่อยมีปัญหานี้ รวมทั้ง Motion 40 คู่นี้ด้วย หลังจากทดลองขับกับแอมป์หลายๆ ตัวแล้ว ผมพบว่า ถ้าเป็นแอมป์ที่มีกำลังขับไม่ถึง 200W/ch ที่ 4 โอห์ม (คือประมาณ 100W/ch ที่ 8 โอห์มแล้วเบิ้ลได้สองเท่าที่โหลด 4 โอห์ม) ลำโพง Motion 40 จะให้เสียงกลาง-แหลมที่เปิดกระจ่างตามคุณภาพของแอมป์ แต่จะให้เสียงทุ้มที่กระชับเร็ว เสียงเบสจะบาง ตอนลองขับกับ Soloist-50 และ Heritage A100 ผมพบลักษณะเสียงแบบนี้ สามารถชดเชยได้ด้วยวิธีขยับดึงลำโพงทั้งสองข้างให้ลงไปชิดผนังด้านหลังอีกหน่อย จะได้เนื้อเสียงในย่านกลางต่ำลงไปถึงทุ้มที่อวบหนาขึ้น แต่หัวเสียงเบสจะไม่คมเท่ากับตอนใช้แอมป์ที่มีกำลังถึงๆ อย่าง Devialet 170 กับ AX-5 ของ Ayre Acoustics ขับ

เน็ทเวิร์คของ Motion 40 มีพฤติกรรมอีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ ตอนทดลองแม็ทชิ่งผมพบว่า สายลำโพงมีส่วนอย่างมากต่อคุณภาพเสียงที่ได้ แน่นอนว่า สายลำโพงที่มีคุณภาพสูงเป็นสิ่งจำเป็นต่อคุณภาพเสียงโดยรวมของลำโพงคู่นี้ แต่ผมพบว่า สเปคฯ ของสายลำโพงที่มีคุณสมบัติ "เหมาะสม" กับลำโพงคู่นี้ "อาจ" ให้ผลรวมของเสียงออกมาดีกว่าสายลำโพงที่มีสเปคฯ สูงกว่าก็ได้ ผมพบจากการทดลองใช้สายลำโพงของ Nordost รุ่น Heimdall กับรุ่น Valhalla แม็ทชิ่งกับลำโพงคู่นี้ (สายลำโพงทั้งสองชุดนี้เป็นแบบ single-to-biwire หรือ 2>4) ในกรณีที่ใช้แอมป์ที่มีกำลังปานกลางขับลำโพงคู่นี้ ผมพบว่า สายลำโพง Heimdall ให้ค่าเฉลี่ยของคุณภาพเสียงที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับ Valhalla แม้ว่าตอนใช้ Valhalla จะได้คุณสมบัติบางด้านออกมาดีกว่า อย่างเช่นตัวเสียงที่เข้มหนากว่า ช่องไฟระหว่างชิ้นดนตรีแยกขาดจากกันมากกว่า แต่เสียงโดยรวมจะออกตื้อนิดๆ อัตราสวิงของไดนามิกไปไม่สุด เมื่อลองใช้สายลำโพง Heimdall พบว่า ได้อัตราสวิงของไดนามิกไปได้สุดเสียงมากกว่า สวิงได้อิสระกว่า ไม่อั้น แม้ว่าคุณสมบัติทางด้านเนื้อเสียง ช่องไฟ และความเนียนจะแย่กว่าก็ตาม แต่ถ้าเปลี่ยนมาใช้แอมป์ที่มีกำลังสูงขึ้นอย่าง AX-5 ผมพบว่าอาการอั้นนิดๆ ของไดนามิกตอนสวิงที่เคยพบจากการใช้สายลำโพง Valhalla กับแอมป์เล็กๆ ลดน้อยลงมาก โดยรวมพบว่า AX-5 + Valhalla + Motion 40 ฟังดีกว่า AX-5 + Heimdall + Motion 40 แบบนี้ผมตีความหมายว่า วงจรเน็ทเวิร์คของ Motion 40 มีความเป็นมอนิเตอร์สูง มันทำตัวเป็นกลางที่สะท้อนบุคลิกของต้นทาง (คือสายลำโพง+แอมปลิฟาย) ออกมาได้อย่างตรงไปตรงมามาก เป็นแนวทางของลำโพงที่มีความซึ่อตรงกับการแม็ทชิ่งทางไฟฟ้ามากกว่าที่จะมีบุคลิกเฉพาะตัว
    
Motion 40 เป็นลำโพงตั้งพื้นขนาดเล็กกระทัดรัด เซ็ตอัพง่าย ตามสูตร 1/3 x ความลึกของห้อง, จัดระยะห่างซ้าย-ขวาเริ่มที่ 180 ซ.ม. ในห้องทดสอบของ GM2000 ผมได้ระยะห่างซ้าย-ขวาลงตัวอยู่ที่ 2.0 เมตรพอดี ส่วนระยะห่างผนังหลังนั้นอยู่ระหว่าง 176-179 ซ.ม. ขึ้นอยู่กับแอมป์ที่ขับ ถ้าเป็นแอมป์เล็กวัตต์ไม่สูงผมจะขยับชิดหลังเข้าไปอีกหน่อยเพื่อเพิ่มความแน่นของมวลเบส ซึ่งต้องชมทวีตเตอร์ Folded Motion Transducer กับมิดเร้นจ์ห้านิ้วครึ่งของลำโพงคู่นี้ที่ให้เอ๊าต์พุตออกมาได้แรงพอ เมื่อขยับลำโพงชิดหลังเพื่อเพิ่มปริมาณเบส เสียงกลาง-แหลมก็ยังสามารถแหวกทะลุเสียงทุ้มขึ้นมาลอยตัวอยู่เลเยอร์บนๆ ได้ และยังคงเปล่งประกายออกมาได้ ไม่อับทึบจมหายลงไปกับเสียงทุ้มเหมือนลำโพงบางคู่
  
ลักษณะเสียง & คุณภาพเสียง

เมื่อแม็ทชิ่งทุกอย่างลงตัว คุณจะได้คุณสมบัติเหล่านี้ออกมาพร้อมๆ กัน นั่นคือ โทนัลฯ ดี - สเตจฯ กว้าง - โฟกัสนิ่ง - ไทมิ่งเป๊ะ.!

จากประสบการณ์ของผม ลำโพงที่วางตำแหน่งกลาง-แหลมเยื้องขึ้นด้านบนแล้วดึงวูฟเฟอร์เสียงทุ้มลงมาใกล้ๆ ฐานล่างมักจะให้เสียงที่กว้าง แยกแยะความถี่ตลอดย่านได้ดี ซึ่ง Motion 40 ก็ให้เสียงออกมาในลักษณะนั้น เสียงกลางกับแหลมของลำโพงคู่นี้เป็นจุดไฮไล้ท์ที่แตกต่างไปจากลำโพงระดับต่ำแสนเกือบทุกคู่ที่ผมเคยฟังมาก โดยเฉพาะเสียงแหลมของลำโพงคู่นี้เป็นอะไรที่สะดุดหูผมมาก ผมเคยผ่านหูไดเวอร์เสียงแหลมแบบนี้แบบต่อหน้าต่อตามาแล้วสองครั้งในชีวิตนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม ทำให้ผมมีเวลาที่จะตั้งใจฟังเสียงของมันมากกว่าทุกครั้ง และแล้วผมก็พบ คุณสมบัติตามทฤษฎีของทวีตเตอร์แบบ Air Motion Transducer ลักษณะนี้ก็คือให้ความเพี้ยนต่ำ เพราะมันให้เอ๊าต์พุตได้ดังมากจึงไม่มีอาการ break-up ของไดอะแฟรมเกิดขึ้นแม้จะเปิดดังมากๆ ทราบมั้ยครับว่า คุณสมบัติข้อนี้ส่งผลต่อเสียงในลักษณะไหน.? อาการสั่นกระพรือของไดอะแฟรมของทวีตเตอร์ที่ทำด้วยโลหะจะส่งผลให้เสียงแหลมมีลักษณะ glare หรือ "ฟุ้งเรือง" สร้างความสับสนให้กับรายละเอียดในส่วนที่เป็นฮาร์มอนิกของเสียงโน๊ตดนตรีที่อยู่ในในย่านตอบสนองของทวีตเตอร์ นอกจากทำให้เสียงแหลมมีลักษณะหยาบระคายหูแล้ว การกระพรือของไดอะแฟรมของโดมทวีตเตอร์โลหะที่จัดการแด๊มป์ไม่ดีจะทำให้หางเสียงของเสียงแหลมเสียหายลงไปด้วย ส่วนใหญ่ของอาการแว๊ดๆ ปรี๊ดๆ ที่แทรกปนออกมากับเสียงแหลมมีต้นเหตุมาจากอาการสั่นกระพรือของไดอะแฟรมโลหะของตัวทวีตเตอร์นี่แหละ ซึ่งไดอะแฟรมของ Folded Motion Transducer ที่ใช้ในลำโพง Motion 40 คู่นี้ใช้แผ่นโพลีเอสเตอร์จึงไม่มีอาการกระพรือ (ริ้งกิ้ง) ที่ความถี่สูงปนออกมา ส่งผลให้เสียงแหลมของ Motion 40 มีความสะอาด ให้โฟกัสที่ชัดเจน แสดงรายละเอียดออกมาได้ชัด และที่สำคัญคือ สามารถตอบสนองต่อสปีดของทรานเชี๊ยนต์ของความถี่ในย่านแหลมได้อย่างรวดเร็วมาก ผลต่อเสียงคือความสด กระจ่าง สมจริง เสียงเครื่องเป่า เสียงเพอร์คัสชั่น ปรากฏออกมาในอากาศด้วยความฉับพลัน มีแรงปะทะ และกังวานหางเสียงออกไปได้ครบถ้วนโดยไม่มีอาการแตกซ่านหรือบี้แบนออกมาปน ใครที่ชอบฟังเพลงร็อคที่เน้น energy สูงๆ อย่างพวกเฮฟวี่เมทัลจะสะใจมากกับเสียงฉาบและเสียงกีต้าร์เอ๊ฟเฟ็ค เพราะคุณสามารถเปิดได้ดังเพื่อถ่ายทอดพลังงานออกมาได้อย่างเต็มเหนี่ยวโดยไม่มีอาการแสบแก้วหู


จะพิสูจน์คุณภาพของเสียงแหลมของทวีตเตอร์ Folded Motion Transducer ตัวนี้ต้องใช้เพลงร็อคหนักๆ อย่าง AC/DC, Grand Funk Railroad, Dream Theater หรืออัลบั้มเพลงทั่วๆ ไปที่เคยฟังว่าเสียงแหลมมันออกจัดจ้านอย่างอัลบั้มชุด Breakfast In America ของคณะ Supertramp หรืออัลบั้มชุด Brothers In Arms กับชุด Love Over Gold ของ Dire Straits ก็ได้ พอเอามาลองฟังกับลำโพงคู่นี้จะรู้สึกเลยว่าเสียงแหลมที่เคยเฟี๊ยวฟ๊าวแสบแก้วหูมันทุเลาลงไปเยอะ ฟังดีขึ้นมาก รู้สึกว่าอาการเซ็งแซ่ลดน้อยลง ทำให้ได้ยินรายละเอียดในย่านเสียงใกล้ๆ กันคือช่วงเสียงกลางตอนบน (upper midrange) ขึ้นไปถึงแหลมตอนล่าง (lower treble) ออกมามากขึ้น จับต้องได้ เป็นชิ้นเป็นอัน และเป็นที่เป็นทางมากขึ้น ที่ชอบมากๆ ก็คือ เปิดได้ดังมากขึ้น ทำให้ได้อรรถรสของพลังดนตรีของเพลงประเภทนี้ออกมาเต็มอารมณ์มากขึ้น ไม่ต้องหรี่เสียงฟังแบบร็อคเหนียมๆ อีกต่อไป     
   
ผมเชื่อว่าการติดตั้งตัวมิดเร้นจ์กับทวีตเตอร์ลอยขึ้นไปด้านบนของตัวตู้ทิ้งให้วูฟเฟอร์ขับทุ้มทั้งสองตัวแยกลงไปอยู่ที่ฐานด้านล่างของตัวตู้น่าจะมาจากการออกแบบที่มุ่งเน้นผลให้เสียงกลางด้านล่าง (lower midrange) กับเสียงทุ้มตอนบน (upper bass) สามารถเชื่อมต่อกันทางอะคูสติกโดยไม่ยุ่งกับเน็ทเวิร์คมาก ผลคือ เสียงกลางที่เปิดโล่ง มีบอดี้และมวลเนื้อออกมาเต็มที่ เมื่อเสียงแหลมถูกควบคุมไว้ได้ ไม่มีอาการริ้งกิ้ง (glare) ออกมากวน เสียงกลางจึงมีคอนทราสน์ไดนามิกที่กว้างขวาง ก่อเกิดเป็นรูปทรงของบอดี้ที่เป็นสามมิติบนพื้นแบ็คกราวนด์ที่ดำสนิท และที่วิเศษมากไปกว่านั้นก็คือได้ "เฟส" ของเสียงกลางที่ถูกต้อง ไม่สูญเสียไปกับวงจรเน็ทเวิร์ค ก่อให้เกิดมิติเสียงที่เด่นชัด ให้รูปวงสนามเสียงที่แผ่กว้างทั้งในแนวกว้าง ลึก และสูง เป็นรูปวงที่สวยงาม มีสมดุล วางเลเยอร์ของตำแหน่งเสียงลดหลั่นลงไปเป็นชั้นๆ ไม่บ่อยที่จะมีลำโพงที่มีราคาขายไม่ถึงแสนบาทคู่ไหนที่สามารถแสดง "ขนาด" ของเสียงเครื่องเคาะในอัลบั้มชุด Asian Roots ของวง TakaDake with Neptune (FLAC 24/44.1) ออกมาได้ใหญ่และให้ฮาร์มอนิกด้านล่างออกมาได้ครบเท่ากับ Motion 40 คู่นี้มาก่อน กับลำโพงบางคู่ในระดับราคาใกล้เคียงกันนี้บางตัวให้หัวเสียงที่คมกระชับ แต่ตัวเสียงที่ตามมาไม่อวบอิ่ม ในขณะที่บางตัวให้หัวเสียงที่ใหญ่แต่น่วมและหน่วงยวบ ไม่กระชับตึง เหมือนหนังกลองหย่อน Motion 40 คู่นี้ให้เสียงเพอร์คัสชั่นในอัลบั้มนี้ออกมาสมบูรณ์แบบมาก หัวเสียงกระชับนุ่มกำลังดี ตัวเสียงก็หนาอิ่มมีมวล ทอดหางออกไปได้อย่างเหมาะสม ที่สำคัญคือ สามารถจับวางตำแหน่งเสียงแต่ละชิ้นไว้ได้ชัดเจนและมั่นคง (ไฟล์เพลงมีปัญหาจิตเตอร์ต่ำกว่าเล่นจากแผ่นซีดี ตำแหน่งโฟกัสของเสียงจึงชัดและแม่นยำมากกว่าเล่นจากแผ่นซีดีมาก)

พอเปลี่ยนมาฟังเพลงแนวออดิโอไฟล์ที่เน้นคุณภาพการบันทึกเสียง โทนเสียงของ Motion 40 ก็เปลี่ยนบุคลิกไปอีกแบบ คือเพิ่มเติมความละเมียดละมัยเข้ามาอีกหลายเปอร์เซ็นต์ "เสียงหรู" ขึ้นมาอีกเยอะ มีคลาสขึ้นมาทันที เนื้อเสียงเนียน สะอาด ไทมิ่งดี ตรงตามจังหวะของเพลง ไม่เร่งและไม่เอื่อยมากเกินไป

จุดอ่อนมีมั้ย.? หลังจากทดลองฟังมาหลายแนวเพลง กับแอมป์หลายตัว ผมพบว่า Motion 40 ยังขาดฐานล่างของเสียงทุ้มลึกๆ แผ่คลุมพื้นห้องอยู่บ้าง อือมม.. แต่พอทราบราคาขายของมัน ผมก็ยอมรับว่าสิ่งที่ผมติอาจจะดูโหดไปสำหรับลำโพงคู่นี้ ซึ่งหากจะว่ากันจริงๆ แล้ว ผมคิดว่าผมเข้าใจว่าเพราะอะไรคนออกแบบจึงปรับจูนเสียงของ Motion 40 ออกมาลักษณะนี้ ผมว่าเขาจงใจที่จะจูนให้เสียงในย่านกลาง-แหลมลงมาถึงทุ้มต้นๆ ของ Motion 40 มีความสมบูรณ์แบบมากที่สุดโดยยอมลดปริมาณของทุ้มลึกๆ ลงไปบางส่วน หากฟังในห้องที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก (ไม่เกิน 4x6 ตร.ม.) ก็จะไม่รู้สึกว่าทุ้มลึกๆ มันน้อยไป เหตุผลคือคนออกแบบเขาเผื่อเอาไว้สำหรับการจับ Motion 40 ไปใช้ในระบบเสียงมัลติแชนเนลนั่นเอง ได้ยินเสียงของ Motion 40 กับการฟังเพลง 2 แชนเนลแล้ว มันทำให้ผมรู้สึกคัน อยากจะลองฟังเสียงของลำโพงซีรี่ย์ Motion ในรูปแบบของระบบเสียงมัลติแชนเนลครบชุดดูสักหน่อย น่าจะออกมาดีมาก โดยเฉพาะกับการฟังเพลงจากแผ่นบลู-เรย์ฯ คอนเสิร์ตและระบบเสียงมัลติแชนเนลของแผ่น SACD กับ DVD-Audio อือมม... สงสัยต้องมียกสองครับ
  
สรุป

อารมณ์ที่ได้จากการฟังลำโพง MartinLogan คู่นี้เหมือนตอนลองขับ C-Class ของเบนซ์ คือโดยรวมๆ ที่มันให้ออกมาสะท้อนขึ้นไปหาลักษณะของเสียงระดับไฮเอ็นด์ฯ จริงๆ ใครที่คุ้นหูกับเสียงของลำโพงระดับไฮเอ็นด์มาก่อน เมื่อได้ฟัง Motion 40 คู่นี้จะระลึกชาติได้

งบประมาณไม่เกินหนึ่งแสนบาทสำหรับลำโพงสมัยนี้ต้องถือว่าค่อนข้างจำกัดจำเกี่ย คุณมีสิทธิ์เจอลำโพง 2 รูปแบบสำหรับงบนี้ นั่นคือ ลำโพงรุ่นใหญ่ของแบรนด์ไม่ไฮเอ็นด์ฯ กับลำโพงรุ่นเล็กของแบรนด์ไฮเอ็นด์ฯ แบบไหนที่ควรเลือก.?

จากประสบการณ์ ผมค่อนข้างจะเทใจไปทางรุ่นเล็กของแบรนด์ไฮเอ็นด์ฯ มากกว่า เพราะยังไงๆ คนที่คุ้นเคยกับการออกแบบและผลิตของแพงมาก่อน แม้จำต้องหันมาทำรุ่นที่มีราคาต่ำๆ ออกมา แต่ด้วย "มาตรฐาน" ที่สูงกว่า ย่อมได้คุณภาพออกมาดีกว่า อาจจะไม่เสมอไป แต่สำหรับผม พบข้อพิสูจน์มาแล้วหลายครั้ง.. 
................................

นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย :
บริษัท Komfortsound โทร. +66 (0) 83-758-7771

................................

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ30 มกราคม 2565 เวลา 01:56

    How to make money online - how to make money - Work
    How 메리트 카지노 쿠폰 to make money online · Make money online · Make money หาเงินออนไลน์ online 온카지노 · Find the best sites to make money · Find the top sites to make money online · Find the

    ตอบลบ